ฝุ่นพิษ PM 2.5 ภัยเงียบที่ต้องระวัง

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โลกได้เห็นความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีอยู่ของอนุภาคละเอียดที่เรียกว่า PM 2.5 อนุภาคขนาดเล็กจิ๋วซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ทำให้ขาดความตระหนักถึงอันตรายต่อสุขภาพได้ ซึ่งพื้นที่ ที่ตรวจพบค่าเกินมาตรฐาน จะเห็นได้ว่ามีพบการเพิ่มขึ้นของมลพิษทางอากาศโดยเฉพาะพื้นที่ในเมืองและแหล่งอุตสาหกรรม  มลพิษทางอากาศมักจะพบในรูปของฝุ่นละอองเป็นส่วนใหญ่ เป็นภัยเงียบที่สะสมในร่างกายไปเรื่อยๆ หากได้รับการสัมผัสเป็นเวลานานๆ อาจจะก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้

     “องค์การอนามัยโลก (WHO)  ตั้งค่าเฉลี่ยฝุ่นละออง PM 2.5 ในอากาศ ว่าหากมีเกินกว่า 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ถือเป็นอันตรายต่อสุขภาพ”
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยกรมควบคุมมลพิษ ได้ปรับปรุงค่ามาตรฐานฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือ PM2.5 โดยคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ได้ประกาศลงในราชกิจานุเบกษา 
“ค่าเฉลี่ย 24 ชั่ว โมง ปรับลดจาก 50 เป็น 37.5 มคก./ลบ.ม. 
ค่าเฉลี่ยรายปี ปรับลดจาก 25 เป็น 15 มคก./ลบ.ม.”
แต่ไม่ว่าจะถือมาตรฐานใด ค่าฝุ่นละออง PM 2.5 ทุกวันนี้ ถือว่าเข้าขั้นวิกฤติโดยเฉพาะบริเวณริมถนนหรือบริเวณที่มีการจราจรหนาแน่นและบริเวณรอบสถานที่ก่อสร้าง

   
      ฝุ่น PM 2.5 คืออนุภาคละเอียดของฝุ่นหรือดินที่ มีขนาดเล็กพอที่จะสูดเข้าไปในระบบทางเดินหายใจได้ อนุภาคเหล่านี้สามารถมาจากแหล่งต่างๆ รวมถึงสถานที่ก่อสร้าง ถนนลูกรัง กิจกรรมทางการเกษตร และปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น การกัดเซาะของลม เนื่องจากขนาดของมัน อนุภาคเหล่านี้จึงสามารถเจาะลึกเข้าไปในปอดได้ง่าย ทำให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์เป็นพิเศษ

ฝุ่น PM 2.5 มีความเสี่ยงพาโรคร้ายแรงอะไรมาให้คุณได้บ้าง?
      การสัมผัสกับฝุ่น PM 2.5 อาจมีผลกระทบทั้งในระยะสั้นและระยะยาว การสูดดมฝุ่น PM 2.5 อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อทางเดินหายใจ มีอาการไอ จาม แสบคอ แสบจมูก แสบตา หายใจมีเสียงหวีด และอาการกำเริบของโรคหอบหืด บุคคลที่มีภาวะระบบทางเดินหายใจอยู่แล้ว เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) หรือหลอดลมอักเสบ มีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบจากฝุ่น PM 2.5 มากกว่า และหากเราสูดดม ฝุ่น PM 2.5 สะสมเข้าไปในร่างกายของเราทุกวัน นานวันเข้าอาจเกิดผลกระทบต่อปอด ทำให้ปอดเกิดการอักเสบหรือร้ายแรงถึงขั้นเป็นมะเร็งปอดได้

กลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูง
      บางกลุ่มมีความเสี่ยงต่อสุขภาพเป็นพิเศษจากฝุ่น PM 2.5 เด็ก ผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์ และบุคคลที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องจะเสี่ยงต่อผลเสียมากกว่า นอกจากนี้ ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองหรือภูมิภาคที่มีประชากรหนาแน่นซึ่งมีมลพิษฝุ่นในระดับสูงยังมีความเสี่ยงที่จะสูดดม

วิธีป้องกันเบื้องต้น
เพื่อป้องกันผลกระทบที่สร้างความเสียหายจากฝุ่น PM 2.5 จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องใช้มาตรการเชิงรุก ดังนี้
  1. สวมหน้ากากป้องกันฝุ่น PM 2.5 เมื่อออกไปกลางแจ้งในสภาพที่เต็มไปด้วยฝุ่น ให้สวมหน้ากากที่สวมใส่อย่างเหมาะสมซึ่งออกแบบมาเพื่อกรองอนุภาค PM 2.5
  2. ทำร่างกายให้เเข็งแรงอยู่เสมอ อีกวิธีรับมือกับฝุ่น PM 2.5 พักผ่อนให้เพียงพอในแต่ละวัน ออกกำลังกาย พร้อมสู้ทุกสถานการณ์  และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และอาหารเสริมอย่าง วิตามินซี, วิตามินอี, และซิงค์ ร่วมด้วย
  3. จำกัดกิจกรรมกลางแจ้ง ทุกครั้งที่เป็นไปได้ ให้ลดการสัมผัสกับสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยฝุ่น โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีมลพิษสูงสุดหรือในพื้นที่ที่มีการก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง
  4. รับข่าวสารติดตามรายงานคุณภาพอากาศในท้องถิ่น และใช้มาตรการป้องกันที่จำเป็นเมื่อระดับมลพิษสูง หรือติดตามข่าวสารเป็นประจำตามเว็บไซต์ข่าว และใช้แอปพลิเคชัน เช็คมลพิษทางอากาศ 
  5. รักษาคุณภาพอากาศภายในอาคาร  ใช้เครื่องฟอกอากาศที่มีแผ่นกรอง HEPA เพื่อลดระดับอนุภาคภายในอาคาร 
  6. ปลูกต้นไม้ การปลูกต้นไม้รอบ ๆ บ้าน จะสามารถช่วยทำให้อากาศในบ้านของเราบริสุทธิ์ขึ้นได้ เพราะต้นไม้จะไปดักจับมลพิษทางอากาศและปล่อยอากาศบริสุทธิ์ออกมาให้เรา

มลพิษจากฝุ่น PM 2.5 ก่อให้เกิดภัยคุกคามที่สำคัญต่อสุขภาพของมนุษย์ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ผลที่ตามมาในระยะยาว การตระหนักถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับฝุ่น PM 2.5 ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับบุคคล ชุมชน และผู้กำหนดนโยบาย ด้วยการสร้างความตระหนักรู้ การใช้มาตรการป้องกัน สุขภาพของเราได้

สิ่งดีๆ ที่อยากแนะนำ 
SWISS ENERGY BY Dr. FREI 
SAMBUCUS IMMUNO 
(สวิสเอ็นเนอร์จี้ บาย  ดร.ฟราย แซมบูคัส อิมมูโน) 
วิตามินเม็ดฟู่เสริมภูมิคุ้มกัน ลิขสิทธิ์จากสวิตเซอร์แลนด์ 
ได้รับการรับรองคุณภาพมาตรฐานระดับสากลและมี อ.ย.ไทยรับรอง 
สารสกัดของผลอัลเดอร์เบอร์รี่ มีสารกระตุ้นภูมิคุ้มกัน 
และสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่า วิตามินซี วิตามินอี ถึง 50 เท่า 
ทุกเม็ดอัดแน่นไปด้วยคุณประโยชน์จาก อัลเดอร์เบอร์รี่ ซิงค์ และวิตามินซี

ขอบคุณข้อมูลจาก : สมิติเวช, โรงพยาบาลบางโพ, รพ.เอส สไปน์ แอนด์เนิร์ฟ, รู้ใจ.com